หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เคยประสบปัญหาสิวอุดตัน คงจะเข้าใจดีถึงความทุกข์ทรมานจากการมีรอยดำและรอยแดงจากสิวบนใบหน้า ซึ่งนอกจากจะทำให้รู้สึกไม่มั่นใจในรูปลักษณ์แล้ว ยังเป็นเรื่องยากและใช้เวลามาก ในการที่จะกำจัดรอยดำรอยแดงเหล่านั้นให้หายไปจากผิวหน้าในแต่ละครั้ง

dark and red acne scars

ความแตกต่างระหว่างรอยดำและรอยแดงจากสิว

  • รอยแดง (Post-inflammatory Erythema – PIE) เกิดจากการอักเสบของสิว ทำให้หลอดเลือดขยายตัว ส่งผลให้ผิวบริเวณนั้นมีสีแดงหรือชมพู มักพบในช่วงแรกหลังสิวหาย และจะค่อย ๆ จางลงได้เองภายในไม่กี่สัปดาห์หรือเป็นเดือน
  • รอยดำ (Post-inflammatory Hyperpigmentation – PIH) เกิดจากการที่ผิวผลิตเม็ดสีเมลานินมากเกินไปเพื่อตอบสนองต่อการอักเสบ ทำให้ผิวบริเวณนั้นมีสีคล้ำกว่าปกติ รอยดำอาจใช้เวลานานกว่ารอยแดงในการจางลง อาจเป็นเดือนหรือเป็นปี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและการดูแลผิว

แบบไหนรักษายากกว่ากัน

โดยทั่วไปแล้ว รอยแดงจากสิวจะหายได้ง่ายและเร็วกว่า รอยดำจากสิว เนื่องจากรอยแดงเกิดจากการอักเสบของหลอดเลือดฝอย ซึ่งสามารถรักษาได้ด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวิตามินซี วิตามินอี และสารต้านอนุมูลอิสระ เพื่อลดการอักเสบและช่วยให้รอยแดงจางลงในขณะที่ รอยดำจากสิวจะยากต่อการรักษามากกว่า เนื่องจากเป็นการสะสมของเม็ดสีผิวในชั้นผิวหนัง จึงต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารกรดผลไม้ เช่น กรดแลคติก กรดไกลโคลิก หรือกรดซาลิไซลิก เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกออกและลดการสะสมของเม็ดสีผิว นอกจากนี้ยังอาจต้องใช้วิธีการรักษาทางการแพทย์ เช่น เลเซอร์ หรือการฉีดสารเคมี เพื่อช่วยลดรอยดำให้จางลงอย่างเห็นผลชัดเจน

treat acne scars

วิธีการรักษารอยดำและรอยแดงจากสิว

  1. หลีกเลี่ยงการแกะ เกา หรือบีบสิว การกระทำเหล่านี้จะยิ่งทำให้เกิดการอักเสบและเพิ่มโอกาสในการเกิดรอยสิว
  2. ทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน แสงแดดเป็นปัจจัยกระตุ้นสำคัญที่ทำให้รอยดำเข้มขึ้นและหายช้าลง ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปและ PA+++ เป็นประจำทุกวัน แม้ในวันที่ไม่มีแดด
  3. ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ช่วยลดรอยสิว 
  • สำหรับรอยแดง ให้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ช่วยลดการอักเสบ ซึ่งมีส่วนผสมของวิตามินซี วิตามินอี และสารต้านอนุมูลอิสระ
  • สำหรับรอยดำ ให้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน หรือช่วยผลัดเซลล์ผิว ซึ่งมีส่วนผสมของสารกรดผลไม้ เช่น กรดแลคติก กรดไกลโคลิก หรือกรดซาลิไซลิก
  1. พักผ่อนให้เพียงพอและควบคุมความเครียด
  2. ปรึกษาแพทย์ผิวหนัง หากรอยสิวไม่จางลงหรือมีอาการรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสม เช่น การใช้เลเซอร์ การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี หรือการใช้ยา

รอยดำและรอยแดงจากสิวมีความแตกต่างกันทั้งในด้านสาเหตุการเกิด ลักษณะ และความยากง่ายในการรักษา โดยรอยแดงจะหายได้เร็วกว่ารอยดำ เนื่องจากเกิดจากการอักเสบของหลอดเลือดฝอย ในขณะที่รอยดำเกิดจากการสะสมของเม็ดสีผิวในชั้นลึก ดังนั้นจึงต้องใช้วิธีการรักษาที่แตกต่างกันไป เพื่อให้ผิวหน้ากลับมาเนียนเรียบราวกับไม่เคยมีปัญหาสิวมาก่อน