หนึ่งในกลยุทธ์ที่หลายธุรกิจใช้เพื่อเพิ่มโอกาสในการมองเห็นเว็บไซต์ของตนผ่านการค้นหาคือการทำ SEO บน Google แต่ไม่ใช่ทุกคีย์เวิร์ดที่ใช้ได้ผลในการทำ SEO บน Google การเลือกคีย์เวิร์ดที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้แคมเปญ SEO ของคุณล้มเหลว หรือแย่กว่านั้นคืออาจโดน Google ลงโทษได้ การรู้จักเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ บทความนี้จะอธิบายถึงคีย์เวิร์ดประเภทไหนที่ไม่ควรใช้สำหรับการทำ SEO เพื่อให้คุณสามารถเลือกคีย์เวิร์ดที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

1. คีย์เวิร์ดที่มีการแข่งขันสูงเกินไป

คีย์เวิร์ดที่มีการแข่งขันสูงมาก เช่น คำทั่วไปที่ได้รับความนิยมสูงในหมวดหมู่ต่างๆ มักจะยากต่อการทำ SEO เนื่องจากมีเว็บไซต์จำนวนมากที่พยายามจัดอันดับสำหรับคีย์เวิร์ดเดียวกัน คีย์เวิร์ดเหล่านี้อาจรวมถึงคำที่กว้างมากเกินไปหรือคำที่ไม่เจาะจง เช่น “เสื้อผ้า” หรือ “โทรศัพท์” การใช้คีย์เวิร์ดเหล่านี้จะทำให้ยากต่อการแข่งขันและทำให้อันดับของคุณไม่โดดเด่นจากคู่แข่ง

ทางเลือก: ลองใช้คีย์เวิร์ดที่เฉพาะเจาะจงขึ้น (Long-tail keywords) เช่น “เสื้อผ้าแฟชั่นสำหรับผู้หญิง 2024” ซึ่งจะมีการค้นหาน้อยกว่า แต่มีโอกาสสูงกว่าที่จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง

2. คีย์เวิร์ดที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือเนื้อหา

การเลือกคีย์เวิร์ดที่ไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหรือผลิตภัณฑ์ที่คุณนำเสนอไม่เพียงแต่ทำให้เสียโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย แต่ยังสามารถทำให้ Google ลงโทษเว็บไซต์ของคุณในแง่ของความน่าเชื่อถือ การทำ SEO ด้วยคีย์เวิร์ดที่ไม่สอดคล้องกับเนื้อหาจะทำให้ผู้เข้าชมรู้สึกไม่พอใจและออกจากหน้าเว็บของคุณทันที ซึ่งส่งผลให้ Bounce Rate สูงขึ้นและทำให้อันดับ SEO ของคุณลดลง

ทางเลือก: เลือกคีย์เวิร์ดที่ตรงกับผลิตภัณฑ์หรือบริการที่คุณนำเสนอ ตัวอย่างเช่น หากคุณรับทำเว็บ ก็ควรใช้คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับบริการนี้ เช่น “รับทำเว็บดีไซน์” แทนที่จะใช้คีย์เวิร์ดที่กว้างหรือไม่เกี่ยวข้อง

3. คีย์เวิร์ดที่ซ้ำกันมากเกินไป (Keyword Cannibalization)

การใช้คีย์เวิร์ดเดียวกันหลายครั้งในหลายๆ หน้าของเว็บไซต์อาจทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Keyword Cannibalization ซึ่งหมายถึงการที่หน้าต่างๆ ในเว็บไซต์ของคุณแข่งขันกันเองในการจัดอันดับคีย์เวิร์ดเดียวกัน ผลที่ตามมาคือ Google อาจไม่สามารถตัดสินได้ว่าหน้าไหนควรจัดอันดับสูงที่สุด ทำให้หน้าเว็บไซต์ของคุณทั้งหมดมีอันดับต่ำลง

ทางเลือก: พยายามใช้คีย์เวิร์ดที่แตกต่างกันสำหรับแต่ละหน้า เช่น หากคุณรับทำ SEO ก็ควรใช้คีย์เวิร์ดที่หลากหลาย เช่น “บริการรับทำ SEO มืออาชีพ” ในหน้าหนึ่ง และ “รับทำ SEO สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก” ในอีกหน้า เพื่อหลีกเลี่ยงการชนกันของคีย์เวิร์ด

4. คีย์เวิร์ดที่มุ่งเน้นเกินไป (Overly Niche Keywords)

คีย์เวิร์ดที่เฉพาะเจาะจงเกินไปอาจทำให้คุณเสียโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้งานที่กว้างขึ้น แม้ว่า Long-tail keywords จะมีประโยชน์ แต่การที่คีย์เวิร์ดนั้นเฉพาะเจาะจงเกินไปอาจทำให้คุณพลาดโอกาสในการดึงดูดผู้ใช้งานอื่นๆ ที่อาจสนใจในบริการของคุณได้

ทางเลือก: เลือกใช้คีย์เวิร์ดที่ยังคงมีความเฉพาะเจาะจง แต่ไม่ถึงขั้นเฉพาะจนเกินไป เพื่อให้คุณสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ที่อาจสนใจบริการของคุณได้ ตัวอย่างเช่น แทนที่จะใช้คีย์เวิร์ดอย่าง “รับทำ SEO สำหรับบริษัทซอฟต์แวร์เฉพาะกลุ่ม” ลองใช้คำที่กว้างขึ้น เช่น “รับทำ SEO สำหรับธุรกิจเทคโนโลยี”

5. คีย์เวิร์ดที่สั้นและไม่มีประสิทธิภาพ

คีย์เวิร์ดสั้นๆ หรือคำเดี่ยวๆ มักมีการแข่งขันสูงและยังมีความครอบคลุมมากเกินไป ทำให้ยากที่จะดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่เจาะจง คีย์เวิร์ดสั้นเหล่านี้มักจะไม่ได้ช่วยให้คุณสามารถเข้าถึงผู้ใช้งานที่ต้องการหาข้อมูลหรือบริการเฉพาะเจาะจงได้

ทางเลือก: ลองใช้คีย์เวิร์ดที่เป็นคำหลายคำหรือคำที่อธิบายรายละเอียดมากขึ้น ตัวอย่างเช่น แทนที่จะใช้คำว่า “SEO” ลองใช้คำว่า “บริการรับทำ SEO ที่ครอบคลุม” ซึ่งจะช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เจาะจงได้ง่ายขึ้น

การเลือกคีย์เวิร์ดที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้แคมเปญ SEO ของคุณล้มเหลว หรือไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่ควร คีย์เวิร์ดที่ไม่เหมาะสม เช่น คีย์เวิร์ดที่มีการแข่งขันสูง คีย์เวิร์ดที่ไม่เกี่ยวข้อง หรือคีย์เวิร์ดที่เฉพาะเจาะจงเกินไป ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้เว็บไซต์ของคุณไม่สามารถดึงดูดกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่ถูกต้องจึงเป็นหัวใจสำคัญในการทำ SEO อย่างยั่งยืน หากคุณกำลังมองหาคำแนะนำหรือบริการ รับทำ SEO คุณสามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อช่วยในการเลือกคีย์เวิร์ดและวางแผนกลยุทธ์ SEO ให้เหมาะสมกับธุรกิจ